Custom Search

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ/อาหารลดน้ำหนักง่ายๆของคุณ







สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ

สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

โดยสรุปสารกลูตาไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู

ยาเม็ดกลูตาไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?

ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูตาไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม

กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

ภาวะที่ร่างกายขาดกลูตาไธโอน

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมีกลูตาไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูตาไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูตาไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

กลูตาไธโอนในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ







วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ


เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี

ไข่ฟองกลมๆ เหล่านี้จะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่







น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ

การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"

นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มี ผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี

ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

"โปรตีนในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว

"แต่จัดว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับ คอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี

ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้ายได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น





วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ




อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง

การที่คนส่วนใหญ่จิตใจและสมองไม่ปลอดโปร่ง สดชื่น เป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสม แพทริค โฮลฟอร์ด นักโภชนาการกล่าว สมองของเราประกอบขึ้นจากโมเลกุลที่ได้จากอาหาร อากาศ และน้ำ ดังนั้นอาหารที่เรากินย่อมส่งผลต่อการทำงานของสมอง

หากต้องการเสริมสร้างสมอง คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน อย่า...อย่า...งดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะจากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การกินอาหารเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและความจำดีขึ้น

ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ บิสกิต เค้ก และขนมขบเคี้ยวไม่ช่วยให้คุณเป็นอัจฉริยะ จงหลีกเลี่ยง

อาหารสำหรับ สมองที่คุณรัก

อาหารเช้า อาหารเช้าช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คุณจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมนูแนะนำ ไข่ดาวน้ำซึ่งอุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ 1 แก้ว

อาหารว่าง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน เลือกกินอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำ โยเกิร์ต ไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชา

อาหารกลางวัน เนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เมนูแนะนำ สลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว

อาหารเย็น น้ำมันปลา เช่นน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก อย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ เมนูแนะนำ ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือ


อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ



อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง

การที่คนส่วนใหญ่จิตใจและสมองไม่ปลอดโปร่ง สดชื่น เป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสม แพทริค โฮลฟอร์ด นักโภชนาการกล่าว สมองของเราประกอบขึ้นจากโมเลกุลที่ได้จากอาหาร อากาศ และน้ำ ดังนั้นอาหารที่เรากินย่อมส่งผลต่อการทำงานของสมอง

หากต้องการเสริมสร้างสมอง คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน อย่า...อย่า...งดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะจากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การกินอาหารเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและความจำดีขึ้น

ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ บิสกิต เค้ก และขนมขบเคี้ยวไม่ช่วยให้คุณเป็นอัจฉริยะ จงหลีกเลี่ยง

อาหารสำหรับ สมองที่คุณรัก

อาหารเช้า อาหารเช้าช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คุณจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมนูแนะนำ ไข่ดาวน้ำซึ่งอุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ 1 แก้ว

อาหารว่าง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน เลือกกินอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำ โยเกิร์ต ไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชา

อาหารกลางวัน เนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เมนูแนะนำ สลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว

อาหารเย็น น้ำมันปลา เช่นน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก อย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ เมนูแนะนำ ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือ


ผู้ป่วยโรคไตห้ามดื่มน้ำลูกยอ-ปัสสาวะ อันตรายถึงชีวิต




ผู้ป่วยโรคไตห้ามดื่มน้ำลูกยอ-ปัสสาวะ อันตรายถึงชีวิต

แพทย์เตือน ผู้ป่วยโรคไตที่ดื่มน้ำลูกยอ หรือปัสสาวะ อาจหัวใจวายเฉียบพลันเสียชีวิตได้ เพราะมีปริมาณเกลือโปรแตสเซียม และโซเดียมสูง

นายแพทย์เกรียง ตั้งสง่า นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในน้ำลูกยอมีปริมาณเกลือโปรแตสเซียม และโซเดียมสูง การบริโภคเพื่อรักษาอาการไตวายต้องระวัง โดยผลการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่บริโภคน้ำลูกยอทั่วประเทศ พบว่า ผู้ที่ดื่มวันละ 1-2 ถ้วยแก้ว มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะโปรแตสเซียมในร่างกายสูง ขณะที่ผู้ที่ดื่มปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน ไม่มีผลข้างเคียง

สรรพคุณมากมาย ใช้เป็นร้ายหรือดีก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ดื่ม ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตที่จะดื่มน้ำลูกยอต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะหากบริโภคเกินขนาดจะทำให้เกิดความผิดปกติของระดับโปรแตสเซียมในเลือดส่งผลถึงการเต้นของหัวใจ หัวใจวายเฉียบพลันจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกันกับการดื่มน้ำปัสสาวะที่มีคำอวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรคได้ก็ไม่เป็นความจริง

อย่างไรก็ตามในงานวิจัยได้ระบุว่า ลูกยอสามารถช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานและป้องกันมะเร็งได้ โดยในลูกยอจะมีสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคในร่างกาย และสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลาม แต่ไม่ได้รักษามะเร็ง

นอกจากนี้มีฤทธิ์แก้ปวด กระตุ้นเอนไซม์ในลำไส้เล็กให้ทำงานดีขึ้น ทั้งนี้คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล โดยการสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ทำวัจัยเกี่ยวกับต้นยอที่ปลูกในประเทศไทย เบื้องต้น พบว่า ลูกยอของไทยสามารถช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เป็นที่น่าพอใจ






ป้องกันโรคหัวใจ ด้วยสารโฟเลต/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ






ป้องกันโรคหัวใจ ด้วยสารโฟเลต

โฟเลต (folate) หรือ วิตามินบี 9 เป็นวิตามินที่ละลายในนํ้า ค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 เมื่อ Lucy Wills รายงานว่าสารสกัดจากยีสต์สามารถรักษาภาวะโลหิตจางชนิดเมกาโลบลาสติกในหญิงตั้งครรภ์ได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1941 สารนี้ได้ ถูกพบในพืชผักอีกหลายชนิด เช่น ผักขม อัลฟาฟา จึงถูกเรียกว่า โฟเลตซึ่งมาจากคำในภาษาลาตินว่า “folium” หมายถึงใบไม้ เมื่อเอ่ยถึงสารโฟเลต จึงทำให้นึกถึงใบไม้ ใบหญ้า ผักใบเขียว

แหล่งของสารโฟเลต คือ อาหารจำพวกผักใบเขียว ยีสต์ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลิสง ส้ม มะนาว มะเขือเทศ เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย ส่วนเนื้อสัตว์มีโฟเลตในปริมาณตํ่า

ผักใบเขียวที่มีปริมาณโฟเลตสูง

คะน้า หนึ่งถ้วยตวงจะมีโฟเลตประมาณ 30 ไมโครกรัม

กะหล่ำปลี

กะหล่ำดอก มีปริมาณโฟเลตสูงกว่ากะหล่ำปลีเกือบเท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณที่เท่าๆ กัน

ปวยเล้ง ให้ปริมาณโฟเลตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผักอื่นๆ ที่มีโฟเลตสูง

บร็อกโคลี่ มีโฟเลตมากเท่ากับถั่วลันเตาในปริมาณที่เท่ากัน

ถั่วลันเตา

หน่อไม้ฝรั่ง มีปริมาณโฟเลตสูงรองจากผักปวยเล้ง

ประโยชน์ต่อร่างกาย

ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล และกรดอะมิโนผ่านทางขบวนการระดับเซลล์

ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง โดยที่จะไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง

เป็นตัวการสำคัญในการสร้างกรดนิวคลิอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกาย และสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้อง และเหมาะสม

สร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมัสให้แก่ทารกแรกเกิด และเด็กเล็ก

ควบคุมการทำงานของสมองและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีของสมอง

กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริกซึ่งช่วยในการป้องกันเชื้อก่อโรคในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ

ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีน และใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่

กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดี ทำให้การย่อยไขมัน และการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นและวิตามินเอ ดี อี เค ทำให้รู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น

ความสำคัญของโฟเลต

สารโฟเลตนี้มีความสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมในเซลล์ และการแบ่งตัวของเซลล์ การขาดสารโฟเลตมีผลให้เม็ดเลือดแดงผิดปกติ เกิดเป็นโรคโลหิตจาง

หากขาดในหญิงตั้งครรภ์จะทำให้การเจริญของหลอดประสาทในทารกไม่สมบูรณ์

การขาดสารโฟเลตจะทำให้มีปริมาณสารโฮโมซิสเทอีนในเลือดสูงมากกว่าปกติ และจะพบภาวะที่มีสารโฮโมซิสเทอีนเลือดสูงมากขึ้น ถ้ามีการขาดวิตามินบี 6 และบี 12 ร่วมด้วย ซึ่งภาวะนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความต้องการโฟเลตในแต่ละวัน

ร่างกายต้องการสารโฟเลตวันละ 400 ไมโครกรัม ซึ่งสามารถรับประทานได้เพียงพอ ในอาหารประจำวันหากกินหลากหลายครบหมู่

ในธรรมชาติโฟเลตถูกสร้างขึ้นโดยพืช และจุลินทรีย์ มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์โฟเลตได้เอง จึงต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร

ความต้องการโฟเลตของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอายุและสภาวะของร่างกาย เช่น ขณะตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือได้รับยาบางชนิด เช่น ยาต้านมะเร็ง ยากันชัก ยาต้านมาลาเรีย หรือยาปฏิชีวนะ?บางชนิด ร่างกายจะมีความต้องการโฟเลตเพิ่มขึ้น

ความผิดปกติในการดูดซึมและโรคพิษ

สารโฟเลตรักษา และป้องกันโรคหัวใจ

ในปัจจุบันมีการศึกษาเป็นที่ยืนยันแล้วว่า ภาวะที่มีสารโฮโมซิสเทอีนในเลือดสูงมีความสัมพันธ์เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และการให้สารโฟเลต ร่วมกับวิตามินบี 6 และ บี 12 จะช่วยลดภาวะที่มีสารโฮโมซิสเทอีนเลือดสูงได้

โฟเลตสามารถช่วยป้องกันหัวใจได้หลายวิธี ประการแรก โฟเลตสามารถช่วยลดสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการปวดหน้าอก และลดอัตราการตายลง

การเสริมโฟเลตในอาหาร

เนื่องจากร่างกายของคนเราไม่สามารถสังเคราะห์โฟเลตได้เอง อาหารจึงเป็นแหล่งที่สำคัญของวิตามินชนิดนี้ แต่ละชนิดมักมีโฟเลตในปริมาณตํ่า การป้องกันการขาดโฟเลตจึงอาจทำได้โดยการบริโภคอาหารที่มีโฟเลตสูง การรับประทานวิตามินเสริมรวมถึงการเติมกรดโฟลิกในอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน

นอกจากการเติมกรดโฟลิกในผลิตภัณฑ์อาหารโดยตรงแล้ว ปัจจุบันมีความพยายามในการนำ วิธีการทางชีวภาพมาใช้เพิ่มปริมาณโฟเลตในพืชที่ใช้เป็นอาหาร วิธีนี้อาศัยเทคนิคทางชีววิทยาโมเลกุลและพันธุวิศวกรรมมาควบคุม หรือดัดแปลงเมตะบอลิสซึมของโฟเลต เพื่อให้พืชสามารถสร้างโฟเลตได้ปริมาณเพิ่มขึ้น


สาเหตุของไมเกรน/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ

สาเหตุของไมเกรน
ไมเกรนมักพบในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นไมเกรน เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า ในช่วงอายุ 25-55 ปี กลไกในการเกิดไมเกรนยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่นักวิจัยเชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติในการขยายและหดตัวของหลอดเลือด ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีชนิดหนึ่งในสมองชื่อว่า เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งรับผิดชอบการเปลี่ยนแปลง การหดหรือขยายตัวของหลอดเลือด และควบคุมความรู้สึกเจ็บปวดในส่วนหัว หน้า และสมอง เมื่อระดับของเซโรโทนินในสมองลดลงจะทำให้หลอดเลือดในสมองขยายตัว เซลล์ประสาทปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดออกมา
นอกจากนี้อาจมาจากสาเหตุอื่น เช่น ระดับความเครียด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะในระยะที่ใกล้มีประจำเดือนหรือใน 2 วันแรกของการมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลง อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงในผู้หญิงบางคนได้ ปัจจัยอื่นที่เสริมกัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของอากาศหรืออุณหภูมิ แสงสว่างที่จ้ามากเกินควร กลิ่นที่รุนแรงและควัน เช่น ควันบุหรี่ อาการซึมเศร้าอดนอน ยาบางชนิด
อาหารกระตุ้นอาการปวดหัวหรือปวดไมเกรน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จดบันทึกอาหารอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่อหาอาหารที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการ ปวดหัวลองงดอาหารต้องสงสัยสักพัก แล้วกลับมารับประทานใหม่ จะแน่ใจได้ว่าอาหารชนิดนั้นเป็นตัวการหรือไม่ สารอาหารที่กระตุ้นการปวดไมเกรนได้แก่
ไทรามีน (tyramine) พบในเนยแข็ง (cheese) เครื่องในสัตว์ ปลาเฮอริ่ง ถั่วลิสง เนยถั่ว ช็อคโกแลต กะหล่ำปลีดอง ไส้กรอก กล้วยสุกงอม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเบียร์ สารไทรามีนจะไปลดระดับสารเซโรโทนินในสมอง ทำให้ปวดหัวอย่างรุนแรง
แทนนิน มีอยู่ในน้ำแอปเปิ้ล ชา กาแฟ ช็อคโกแลต ไวน์แดง เป็นต้น ข้อมูลในปัจจุบันยัง ไม่สามารถยืนยันสารแทนนินหรือสารไทรามีนกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้
เฟนนิลเอททิลลามีน พบในช็อกโกแลตหรือโกโก้ ซึ่งงานวิจัยไม่อาจสรุปได้ว่า ช็อกโกแลตจะกระตุ้นอาการไมเกรน และจากการวิจัยของนายแพทย์ อลัน เลวิตัน พบว่าอาหารเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการของไมเกรน ทำให้คนที่ชอบช็อกโกแลตชอบใจไปตามกัน
สารเจือปนอาหาร เช่น น้ำตาลเทียม ผงชูรส และดินประสิว ซึ่งใช้ใส่ในไส้กรอก แฮม เบคอน หรืออาหารรมควัน อาจกระตุ้นอาการปวดหัวได้ นอกจากที่กล่าวมาแล้วอาหารอื่นๆที่ควรเลี่ยงได้แก่ ขนมปังใส่ยีสต์ ซุปก้อน ซีอิ๊ว ปลาหมัก ถั่วปากอ้า เมล็ดถั่วลันเตาเป็นต้น
สารอาหารที่อาจช่วยบรรเทาไมเกรน
การวิจัยพบว่าสารอาหารบางอย่าง เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม อาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากโรคนี้ได้ แนะนำการเสริมแมกนีเซียมวันละ 300 มิลลิกรัม ร่วมกับอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงเช่น ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว ธัญพืช อาโวคาโด
นอกจากนี้มีข้อมูลการวิจัยชี้แนะว่าการเสริมแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินดีทุกสัปดาห์ จะช่วยลดอาการปวดหัวจากไมเกรนในหญิงที่หมดประจำเดือนได้ดี
พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เก็กฮวย งานวิจัยพบว่าสารสกัดจากใบเก็กฮวยแห้ง 125 มิลลิกรัม/วันช่วยป้องกันไมเกรน แต่ถ้าแพ้พวกละอองเกสรใบใม้ใบหญ้าบางชนิดก็ควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่มีวิตามินบีสูงอาจมีส่วนช่วยลดอาการปวดหัวได้ การขาดวิตามินบีรวมทั้งไนอะซินและกรดโฟลิคอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ การเสริมวิตามินบี6 ก่อนมีประจำเดือน 5-10 วัน ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทมิน อาจช่วยลดอาการปวดหัวในช่วงนั้นได้ ส่วนการเสริมวิตามินบี 2 วันละ 400 มก.เป็นเวลา 3 เดือนช่วยลดความถี่และระยะเวลาการปวดหัว
ธาตุเหล็ก ปวดหัวเป็นอาการอย่างหนึ่งของการขาดธาตุเหล็ก จึงควรบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงน้ำมันปลา อาหารที่มีกรดโอเมก้า3 จะช่วยลดความรุนแรงและความถี่ ของไมเกรนได้
โคเอ็นไซม์คิว 10 งานวิจัยจาก Cleaveland Headache Center พบว่าการเสริมโคเอ็นไซม์คิว10 วันละ 150 มก. ช่วยลดความถี่ของไมเกรน ส่วนการวิจัยในสวิสเซอร์แลนด์พบผลเช่นเดียวกันภายใน 2-3 เดือนหลังเสริมโคเอ็นไซม์คิว10 100 มก.วันละ 3 ครั้ง


ข้อแนะนำในการป้องกันและบรรเทาอาการไมเกรน
1. ควร ดูแลน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอในระดับปานกลางนาน 30 นาที เกือบทุกวัน
3. นอนให้เป็นเวลา วันละ7-8 ชั่วโมง
4. บริโภคอาหารให้เป็นเวลา และหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัด
5. หมั่นตรวจความดันโลหิตและดูแลระดับคอเลสเทอรอลให้ปกติ
6. จำกัดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควรงดคือ ไวน์แดง แชมเปญ เวอร์มุท เบียร์
7. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือการอยู่ในบริเวณที่ไม่ปลอดบุหรี่
8. ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ จะป้องกันอาการปวดหัวได้