Custom Search

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การเลือกรับประทานอาหารสำหรับผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก



การเลือกรับประทานอาหารสำหรับผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก

นี่เป็นข้อแนะนำแบบง่าย จากนักโภชนาการ สำหรับผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ลดหรือหลีกเลี่ยง กับข้าวที่มีการชุบแป้งทอด หลีกเลี่ยงน้ำจิ้ม ลดเกลือ

สำหรับของหวาน เลือกรับประทาน ขนม หรือ ผลไม้ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

เลือกขนมหรือผลไม้ มื้อละ 1 ชนิดเท่านั้น

ผลไม้สามารถรับประทานได้ทุกชนิด ไม่เว้นทุเรียน

ผลไม้เนื้อนุ่มๆนิ่มๆที่กินง่าย รับประทานไม่เกิน 10 คำ (ปริมาณ ประมาณเท่ากับ ข้าว 1 ทัพพี)

ผลไม้เนื้อกรอบๆ รับประทานได้ถึง 20 คำ

ขนมควรรับประทานไม่เกิน 10 คำ

เลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำชนิดอื่นๆ เช่น น้ำอัดลม กาแฟเย็น ชาเย็น เป็นต้น

ละเว้นน้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู ในการปรุงอาหาร

คำแนะนำ

วิธีการเลือกอาหารเหล่านี้ หากสังเกตุโดยรวมก็คือ การลดน้ำตาล และลดน้ำมัน นั่นเอง แต่แปลงหลักการกว้างๆมาเป็นข้อแนะนำย่อยที่เข้าใจและจำได้ง่ายขึ้น

หากต้องการดื่มน้ำหวาน คุณสามารถทำ น้ำหวานพลังงานต่ำ ดื่มทดแทนได้

เลือกอาหารที่จะรับประทานได้แล้ว อย่าลืม รับประทานช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด ซึ่งจะทำให้คุณมีความสุขกับอาหารนั้นๆมากขึ้น

สูตร 7 วัน ลดความอ้วน

วันที่ 1 กินผลไม้ทุกชนิดได้เท่าที่ต้องการ ยกเว้นกล้วย กินซุปให้มากๆด้วย

เครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้คือ ชา น้ำแครนเบอรี่ และน้ำเปล่า

เมืองไทยคงหาน้ำแครนเบอรี่ยาก ลองดูเป็นอย่างอื่นละกันค่ะ หรืองดไปเลยก็คงไม่เป็นไร ดื่มน้ำเปล่าดีกว่าอยู่แล้ว

วันที่ 2 กินผักทุกชนิดได้เท่าที่ต้องการ ไม่ว่าจะสด ดิบ หรือสุก พยายามกินพวกผักใบเขียว เลี่ยงผักจำพวกถั่วเมล็ดแห้ง กินซุปให้มากๆ แต่งดผลไม้ วันนี้ให้รางวัลกับตัวเองด้วยมันอบพร้อมเนย 1 หัว

วันที่ 3 กินผัก + ผลไม้ + ซุปได้มากเท่าที่ต้องการ แต่งดมันอบ

วันที่ 4 กินกล้วยให้ได้ 8 ผล และดื่มนมไขมันต่ำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะได้ รวมถึงซุปด้วย

วันที่ 5 กินเนื้อวัวได้ 300-600 กรัม และมะเขือเทศ1กระป๋อง หรือมะเขือเทศสด 6 ผล ดื่มน้ำอย่างน้อย 6 แก้วเพื่อชะล้างกรดยูริคจากร่างกาย กินซุปอย่างน้อย 1 หน

สำหรับคนที่ไม่กินเนื้อวัวให้ดู ข้างท้ายครับ

วันที่ 6 กินผักกับเนื้อวัวได้เท่าที่ต้องการ งดมันอบ กินซุปอย่างน้อย 1 หน

วันที่ 7 กินข้าวกล้อง + ผัก + น้ำผลไม้ที่ไม่ได้ปรุงแต่งรสหวานเพิ่ม กินได้เท่าที่ต้องการ และอย่าลืมกินซุปด้วย

เมื่อจบวันที่7 หากคุณไม่ได้โกงตัวเอง น้ำหนักคุณจะลดไปได้ 4.5 - 8 กิโล หากต้องการลดเพิ่ม ให้เว้นระยะสักสองวันก่อนจะเริ่มใหม่จากวันที่ 1 สามารถทำไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะเบื่อ

อาหารต้องห้าม ขนมปัง ของทอด แอกอฮอล์ มันฝรั่ง ( เว้นแต่วันที่ระบุไว้ ) น้ำอัดลม

สำหรับผู้ที่ไม่กินเนื้อวัว สามารถกินไก่ต้มหรือไก่ย่างแทนได้แต่อย่ากินหนัง หากคุณกินปลานึ่งในวันที่5แทนเนื้อวัว ควรกินโปรตีนในวันถัดไปให้มากขึ้น เพื่อชดเชยโปรตีนที่ขาดไป

หากต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ก็สามารถกินได้โดยไม่เป็นไร สามารถทำตามสูตรนี้ไปได้เรื่อยๆ



ลดความอ้วนด้วยบุก/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ




ลดความอ้วนด้วยบุก

ใครที่รู้ตัวอ้วน และอยากลดน้ำหนักบ้าง การรับประทานบุกสามารถช่วยได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องบุกมาบอกกัน.

บุก คือ พืชในตระกูลเดียวกันกับบอน (Araceae) เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นอวบ ไม่มีแก่น สูง 3-6 ฟุต มีดอกสีม่วงเหมือนดอกหน้าวัวเป็นพืชท้องถิ่นของ ประเทศญี่ปุ่น จีน ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดจีน ในประเทศไทยพบบุกมากในจังหวัด กำแพงเพชร เชียงใหม่ พะเยา กาญจนบุรี

ปัจจุบันนิยมรับประทานส่วนหัวของบุก เพราะมีสารสำคัญตัวหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ากลูโคแมนแนน เป็นคาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง ชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วย กลูโคส แมโนส ฟรุคโทส มีลักษณะข้น ๆ เหนียว ๆ ก่อนจะนำมาบริโภคจะต้องผ่านกรรมวิธีที่มากมายในการกำจัดยางและ ล้างพิษที่อาจจะทำให้คันได้ นำมาขายเป็นเส้น ๆ หรือเป็นชิ้น ๆ ซึ่งนำไปประกอบอาหารแทนเนื้อสัตว์ได้ เพราะไม่มีรสชาติ จึงสามารถปรุงรสได้ตามความชอบ

บางครั้งอาจนำมาขายในลักษณะผงชงเป็น เครื่องดื่มรสต่าง ๆ ความเหนียวหนืดของกลูโคแมนแนน จะชะลอการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหารไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

ช่วยถ่วงท้องให้อิ่มเร็ว การบริโภคอาหารอื่น ๆ จึงน้อยลงโดยปริยาย ทำให้นิยมมากในวงการผู้ที่ต้องการ ลดน้ำหนัก ใยและกากอาหารจะทำให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้นทำให้การ ขับถ่ายเป็นไปได้ดี การควบคุมหรือลดน้ำหนักด้วยการบริโภคบุก พร้อมกับการรับประทานอาหารอื่น ๆ ครบ 5 หมู่ ไม่มีอันตรายต่อ ร่างกายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นใยอาหารธรรมชาติไม่ใช่สารเคมีสกัด

ใครที่อยากลดน้ำหนักลองหันมาทานบุกกันดูได้นะครับ



นั่ง ยืน นอน แบบไกลอัมพาต/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ




นั่ง ยืน นอน แบบไกลอัมพาต

การนั่ง ยืน นอนดูจะเป็นเเรื่องความเคยชิน แต่รู้กันหรือไม่ว่า มันเกี่ยวพันกับโครงสร้างร่างกายของเราจัง ๆ

หากเกิดการปวดเมื่อยเรื้อรัง นั่นแหละมันบ่งชี้ว่าโครงสร้างร่างกายเริ่มมีความผิดปกติ และถ้าทิ้งไว้นาน ๆ อันตรายใหญ่หลวงจะมาเยือนโดยไม่รู้ตัว เพราะมันนำพาเราไปสู่การเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

นั่ง ยืน นอนแบบไหนดีไม่ดีอย่างไร ต้องฟังเสียงสถาบันปรับโครงสร้างร่างกายอริยะเขาว่า

ท่าแรกคือ นั่งไขว่ห้าง ท่านั่งยอดฮิตนี่แหละ ที่ส่งผลเสียในระยะยาวต่อโครงสร้างกระดูกสันหลัง การนั่งไขว่ห้างจะทำให้ตัวเราเอียงไปข้างหนึ่ง ทำให้กล้ามเนื้อไม่สมดุล ฝั่งหนึ่งหด แต่อีกฝั่งหนึ่งจะยืด กล้ามเนื้อที่หดจะค่อย ๆ สะสมความเกร็ง และถ้าเราเกร็งในท่านี้ตลอดจะดึงกระดูกให้คด ถ้าเป็นมากบ่า 2 ข้างจะไม่เท่ากัน บางคนสะโพก 2 ข้างเป็นรูปตัวเอส บางคนเป็นรูปตัวซี

นั่งท่าไหนถึงจะถูกต้อง

มันเกี่ยวกับเก้าอี้ที่นั่งด้วย ถ้าเก้าอี้นุ่มหรือเอนมากเกินไป น้ำหนักจะไปลงที่หลังมากกว่าปกติทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง กระดูกจะผิดรูปได้เหมือนกัน

การนั่งที่ถูกต้อง ต้องเลื่อนให้ก้นชิดพนัก จะช่วยไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักเกินไป

ต่อมา ?การกอดอก? จะทำให้หัวไหล่และกระดูกสันหลังงุ้มไปด้านหน้า จะทำให้มีผลเสียในระยะยาว

เพราะหน้าอกเป็นที่ตั้งของปอด หัวใจ เมื่อใดที่หลังเรางุ้มมาก ๆ ปอดจะไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ อากาศเข้าไปได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจะได้รับออกซิเจนน้อย หัวใจต้องทำงานหนัก มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทางเดินเลือด เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง

ทีนี้มาถึง ท่ายืน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ชอบสวม ส้นสูง มากกว่า 2 นิ้ว จะเหมือนกับการยืนเขย่งเท้าอยู่ตลอดเวลา จะทำให้หลังช่วงล่างแอ่น และจะทำให้โครงสร้างผิดเพี้ยน

ดังนั้นหากเมื่อเริ่มเมื่อยควรจะหาที่นั่งพัก นั่งให้เต็มก้น เหยียดขา แล้วกระดกข้อเท้าขึ้น น่องจะตึง จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ถ้าเลือกไม่ได้จริง ๆ ขณะที่ยืนก็ต้องพยายามแขม่วท้องนิด ๆ เจะลดการแอ่นของหลังได้

แต่ถ้าเมื่อยล้าตรงบั้นเอว เมื่อยน่อง เมื่อยขามาก ควรจะไปตรวจเช็คดูได้แล้ว

มาถึง ท่านอน ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

ท่านอนที่ถูกต้องที่สุด คือ การนอนหงายมีหมอนรองใต้เข่า จะทำให้ช่วยลดแรงกดที่หลังช่วงล่าง กล้ามเนื้อจะผ่อนคลาย

หากนอนหงายแล้วนอนไม่หลับ หายใจไม่ออก หรือรู้สึกเกร็งรั้ง นั่นอาจแสดงว่าโครงสร้างร่างกายเริ่มไม่ดีแล้ว

ถ้าชอบนอนตะแคง โดยเฉพาะตะแคงข้างเดียว ต้องบอกว่า อันตราย เพราะหัวไหล่จะถูกกดทับ เลือดไม่ไหลเวียน ทำให้ขัดหัวไหล่ ปวดต้นคอ อาจทำให้กระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือกระดูกทับเส้นประสาท

ส่วนการเลือกหมอนหนุนก็สำคัญ หมอนควรจะรองรับศีรษะได้ดี ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป และควรจะรับกับแนวโค้งของคอ เวลานอนให้เลื่อนปลายหมอนอยู่ใต้หัวไหล่เล็กน้อย เพื่อให้หมอนประคองแนวสันหลังคอ

ไม่ควรนอนโดยไม่ใช้หมอน เพราะการรับน้ำหนักของศีรษะจะกระจายออก โค้งของกระดูกคอจะถูกดันให้อยู่ในเส้นตรงมากเกินไป อาจไปกดข้อต่อต่าง ๆ ได้

หากเราอยู่ในอิริยาบถที่ผิด อาจจะส่งผลร้ายจนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ เพราะกระดูกสันหลังเป็นศูนย์รวมเส้นประสาท เป็นชิ้นส่วนของร่างกายที่สำคัญมาก

ถ้าไม่อยากเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตโดยไม่รู้ตัว ควรกลับมานั่ง ยืน นอน อย่างถูกวิธีกันได้แล้ว



วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รูปร่างดีใน 4 สัปดาห์/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ

รูปร่างดีใน 4 สัปดาห์

คุณจะดูเพรียวลงและแข็งแรงขึ้นในช่วงเวลาไม่นาน เพียงทำตามตารางต่อไปนี้แค่ 4 ครั้ง ก็เห็นผล


วันจันทร์
ตั้งเป้าไปที่ บั้นท้าย ขาและหน้าท้อง
ท่าปฏิบัติ
-ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที หากคุณเข้าโรงยิมเป็นประจำอยู่แล้ว ลองวิ่งบนเครื่องวิ่ง หรือไม่ก็ปั่นจักรยานที่มีแรงต้านเล็กน้อย แต่หากคุณออกกำลังกายที่บ้าน ลองเดินอย่างกระฉับกระเฉงหรือไม่ก็จ็อกกิ้งดู
-ท่านั่งย่อยืด 20 ครั้ง ยืนปล่อยแขนไว้ข้างลำตัว ค่อยๆ นั่งโดยทิ้งน้ำหนักไปด้านหลังกระทั่งต้นขาขนานกับพื้น ขณะเดียวกันยกแขนขึ้นด้านหน้า เพื่อสร้างความสมดุลแล้วกลับไปไท่าเริ่มต้น
-ท่าแทงเข่า 20 ครั้ง ยืนเอามือท้าวสะโพก ใช้เท้าขวาก้าวไปด้านหน้า พร้อมย่อเข่าลงกระทั่งต้นขาขนานกับพื้น กลับไปที่ท่าเดิมแล้วเปลี่ยนเป็นขาซ้าย
-ท่าถ่วงน้ำหนัก 20 ครั้ง ยืนถือเวทขนาด 3-5 ปอนด์โดยให้มืออยู่บริเวณหน้าขา โน้มตัวไปด้านหน้าโดยใช้ช่วงเอว กระทั่งนิ้วของคุณแตะพื้นแล้วกลับไปที่ท่าเริ่มต้น
-ท่าขาตั้งฉาก 40 ครั้ง นอนราบกับพื้นมือแนบลำตัว
พยายามยกขาทั้งสองให้ตั้งฉากกับเพดาน จากนั้นค่อยๆ วางขาลงจนห่างจากพื้น 2-4 ฟุต


วันอังคาร
มุ่งไปยัง แขนและหน้าอก
ท่าปฏิบัติ
-ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
-ทำท่าซิทอัพ โดยชันหรือวางเข่าราบกับพื้น 15-20 ครั้งหรือพยายามทำเท่าที่คุณสามารถทำได้
-ท่าชูขึ้น 20 ครั้ง นอนราบกับพื้นในมือถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ งอแขนเข้าโดยให้มืออยู่บริเวณไหล่ ฝ่ามือหันเข้าหากัน ค่อยๆ ยกเวทขึ้นกระทั่งแขนตึง โดยพลิกฝ่ามือหันไปทางปลายเท้า เสร็จแล้วกลับไปที่ท่าเริ่มต้น
-ท่าโน้มตัว 20 ครั้ง นั่งลงที่ขอบเก้าอี้โดยให้เข่างอไว้ วางน้ำหนักลงที่ส้นเท้า ปลายนิ้วเท้าของคุณควรชี้ไปด้านหน้า ใช้มือจับส่วนหน้าของเก้าอี้ระหว่างขาให้แน่น พยายามตั้งหลังให้ตรงไว้ ค่อยๆโน้มตัวไปด้านหน้าโดยใช้ลำแขนช่วยดึงลำตัวลงไป กระทั่งข้อศอกของคุณอยู่ในระดับเดียวกับหัวไหล่ กลับไปที่ท่าเริ่มต้น


วันพุธ
มุ่งไปยัง หลังและไหล่
ท่าปฏิบัติ
-ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
-ท่ากางปีก 20 ครั้ง ยืนให้ปลายเท้ากว้างในระดับไหล่โดยมือทั้งสองถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ในมือ หันฝ่ามือเข้าหาลำตัว จากนั้นค่อยๆ กางแขนทั้งสองขึ้นจนกระทั่งสูงขึ้นถึงระดับไหล่ แล้วค่อยๆ วางลงอย่างช้าๆ
-ท่ายกขึ้นด้านหน้า 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง) ยืนตรงในมือถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ ค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นทางด้านหน้าจนถึงระดับไหล่ ค่อยๆ วางลงแล้วเปลี่ยนแขน
-ท่ายกเหยียด 20 ครั้ง ยืนตรงในมือถือเวทหนัก 3-5 ปอนด์ ค่อยๆ งอแขนเข้าหาลำตัวโดยให้ฝ่ามือหันออกด้านหน้า เหยียดแขนทั้งสองตรงเหนือศีรษะแล้วค่อยๆ วางลงอย่างช้าๆ


วันพฤหัสบดี
มุ่งไปยัง บั้นท้าย ขาและหน้าท้อง
ท่าปฏิบัติ
-ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
-30 ท่าดึงถีบ (ข้างละ 15 ครั้ง) ทำท่าหมอบโดยพยายามให้หลังตรงเข้าไว้ ดึงเข่าขวาให้ขึ้นมาถึงหน้าอกแล้วถีบออกด้านหลังให้ขายืดตรง เริ่มทำใหม่โดยเปลี่ยนขา
-ท่านั่งย่อยืด 20 ครั้ง
-ท่าแทงเข่า 15 ครั้ง
-ท่ายกกระดูกเชิงกราน นอนราบกับพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นและแขนแนบลำตัว ค่อยๆ ยกบั้นท้ายขึ้นกระทั่งสูงเหนือพื้นประมาณ 3-5 นิ้ว ค่อยๆ วางลงอย่างช้าๆ
-ท่ายกบิด 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง) นอนราบกับพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นแล้วเอามือรองไว้ใต้ศีรษะ พยายามใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องโดยการยกศีรษะและหัวไหล่ขึ้นจากพื้น ในขณะเดียวกันหมุนลำตัวไปทางด้านขวามือ เสร็จแล้วเปลี่ยนข้าง


วันศุกร์
มุ่งไปยังส่วนที่คุณมีปัญหา
ท่าปฏิบัติ
-ท่าบริหารหัวใจ 20 นาที
-จากนั้น พิจารณาดูว่าถ้าแขนของคุณยังไม่ฟิตพอ ให้ใช้ท่าบริหารของวันอังคาร แต่หากหลังและไหล่รู้สึกอ่อนแอเหลือกำลัง ให้คุณทำท่าของวันพุธ ก้น ขา และช่องท้องเกิดต้องการการบริหารมากกว่าเท่าที่ทำไปเมื่อวันจันทร์และพฤหัสบดี ให้นำท่าของวันจันทร์มาทำอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้คุณจะไม่ทำท่าที่ซ้กับวันก่อน ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนบนเกิดอาการเจ็บปวด


วิธีเลือกรับประทาน
หากต้องการลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องวางแผนสำหรับเมนูอาหารในเดือนนี้
-ทำอาหารมื้อกลางวัน และมื้อค่ำด้วยเนื้อไม่ติดมัน
-เลือกผักใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม แต่หลีกเลี่ยงพวกที่เป็นแป้ง อย่างมันฝรั่ง
-หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อสามารถทำได้
-ไม่ควรรับประทานผลไม้ เขตร้อนที่มีแคลอรีสูง อาทิ สับปะรด กล้วย และมะพร้าว
-หนีห่างขนมหวานที่มีปริมาณน้ำตาบสูง
-ลองเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งใสใส่ผลไม้ อาจช่วยบรรเทาความอยากของคุณได้

สาระอาหาร กินอย่างไรห่างไกลวัยทอง/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ

สาระอาหาร กินอย่างไรห่างไกลวัยทอง

การกินดี หมายถึง การกินอาหารให้ได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน พอเพียงและพอดี อันจะนำมาซึ่งสุขภาพดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต
การกินดีอยู่ดีมาตลอดตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ย่อมจะส่งผลดีต่อไปในอนาคตคือ เป็นผู้ใหญ่วัยทองที่แข็งแรง ปราศจากโรค สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทำประโยชน์ให้กับครอบครัวและสังคมส่วนรวมได้ด้วย แต่ถ้าปฎิบัติตนไม่ถูกต้องทั้งในด้านการกิน การเสพ ผลก็คือเป็นผู้ใหญ่ที่แม้ว่าจะมีชีวิตยืนยาวก็ไม่สมบูรณ์ อาจมีโรคแห่งความเสื่อมรบกวน เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคกระดูกโปร่งบางหักง่าย โรคมะเร็ง ฯลฯ
การบริโภคอาหารด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อสุขภาพอันดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต จำเป็นต้องอาศัยความรู้เรื่องคุณค่าของอาหาร ประกอบกับความตั้งใจแน่วแน่ที่จะบริโภคเพื่อสุขภาพมากกว่ารับประทานตามใจปาก โดยมีหลักปฏิบัติคือเลือกอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการดี เลือกอาหารที่ประหยัด คือ อาหารที่หาง่ายในท้องถิ่นหรือมีตามฤดูกาลและรับประทานอย่างคุ้มค่า ไม่เหลือทิ้ง เลือกอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษทั้งปวง เช่น สีสังเคราะห์ สารก่อมะเร็ง ฯลฯ


การเลือกอาหารให้มีความหลากหลายไม่จำเจในหมวดต่างๆ มีหลักดังนี้
หมวดข้าว ควรเป็นข้าวที่ไม่ขัดจนขาว ซึ่งจะได้รับใยอาหารและวิตามินที่ป้องกันโรคเหน็บชามากกว่าข้าวขาว
หมวดเนื้อสัตว์ แหล่งอาหารให้โปรตีนคุณภาพดีและมีไขมันน้อย เช่น เนื้อปลา ควรบริโภคทั้งปลาน้ำจืดซึ่งหาได้ง่ายในท้องถิ่น ปลาทะเลซึ่งให้ธาตุไอโอดีนป้องกันคอพอก และปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทู ปลาโอ ปลาซาบะ ซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดตีบ หรืออุดตันและจะทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือดตามมา พร้อมกับบริโภคเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่ไม่มีมัน เช่น สันในไก่ สันในหมู
หมวดนม เด็กต้องดื่มนมมากๆ เพื่อความเจริญของกระดูก กระดูกจะได้ยาว เด็กจะมีความสูงเพิ่มขึ้นตามวัย (จะสูงเต็มที่ต้องออกกำลังกายประกอบกับการดื่มนม) ขณะเดียวกันควรดื่มเพื่อเป็นทุนสำรองไว้ในกระดูกให้มาก เพราะเมื่อเข้าสู่วัยทอง แม้เกลือแร่จะออกจากกระดูกไปบ้างตามธรรมชาติ แต่กระดูกก็ยังมีเกลือแร่และความหนาแน่นมากพอที่จะป้องกันไม่ให้กระดูกเปราะหักและแตกง่าย (เวลาที่ผู้สูงอายุล้ม) ขณะเดียวกันในวัยผู้ใหญ่ก็ต้องดื่มนมเพื่อรักษาไว้ซึ่งความแน่นแข็งแกร่งของกระดูก จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน เด็กดื่มนมกันมาก และคุณควรสนับสนุนให้ดื่มต่อไป ตลอดจนเข้าสู่ผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ ถ้าปฏิบัติได้เช่นนี้ ผู้ใหญ่ยุคใหม่จะย่อยน้ำตาลในนมได้ (เพราะมีนมไปกระตุ้นให้มีเอนไซม์แลคเทสออกมาอยู่เรื่อยๆ) ไม่ต้องดื่มนมเปรี้ยวในวัยทอง
ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วเขียว มีใยอาหารมาก หญิงวัยหมดประจำเดือน ควรดื่มนมถั่วเหลืองวันละ 1-2 แก้ว เพราะนมถั่วเหลืองมีสารช่วยลดโคเลสเตอรอลและชะลอการเกิดโรคกระดูกโปร่งบางในวัยสูงอายุ
หมวดไขมัน เลือกไขมันที่ดีที่สุด ประหยัดที่สุดคือ น้ำมันถั่วเหลืองผสมน้ำมันรำ 1:1 ในการประกอบอาหาร เพื่อป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง อันจะนำไปสู่ภาวะหัวใจหรือสมองขาดเลือด คุณควรบริโภคไขมันให้น้อยลง งดอาหารที่ทอดอมน้ำมัน แกงกะทิ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ติดมัน หมูสามชั้น เนย เนยเทียม
หมวดผัก เลือกผักจำพวกใบและมีสีเขียวเข้ม เช่น ใบตำลึง ผักกาด กวางตุ้ง คะน้า ผักจำพวกผล หัว สีแสดเข้ม (มีเบต้าแคโรทีนสูง) เช่น มะเขือเทศสุกสุดสีแดงจัด หัวแครอท เลือกผักที่ทราบว่าไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง เช่น ตำลึง ผักคะน้าต้นเล็กๆ ที่ยังอ่อน หรือคะน้าต้นโตที่มีรูพรุน อาหารจำพวกผักมีใยอาหารมาก ซึ่งจะช่วยป้องกันริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ใหญ่
หมวดผลไม้ จะได้ประโยชน์ด้านวิตามิน เกลือแร่และใยอาหาร โดยเฉพาะผลไม้สดสุกที่มีสีแสดส้ม เช่น มะละกอสุก หรือรับประทานผลไม้สดตามฤดูกาล เช่นส้ม สับปะรด ฝรั่ง ชมพู่ ฯลฯ การรับประทานผลไม้จะได้ประโยชน์มากกว่าการดื่มน้ำผลไม้ เพราะได้รับใยอาหารไปด้วยในคราวเดียวกัน
ดังนั้นทุกครั้งที่เลือกรับประทานอาหารหลักในแต่ละหมวด คุณต้องสำนึกอยู่เสมอว่า จะเลือกอาหารที่ดีสำหรับปัจจุบันและป้องกันอันตรายจากโรคแห่งความเสื่อมที่มักเกิดขึ้นในอนาคต


วิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง
1. รับประทานอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีเชื้อรา เช่น ถั่วลิสง ข้าวสาร หัวหอม พริกแห้ง มะละกอสุก (ผิวเน่า) ถ้าพบว่ามีราสีดำให้ทิ้งได้ทันที
3. รับประทานผักผลไม้ที่สด สะอาดและปลอดสารพิษ จะช่วยให้ร่างกายได้รับใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ 4. งดหรือลดอาหารปิ้ง ย่าง ทอด ด้วยไฟแรงจนมีควัน และอาหารไหม้เกรียม เช่น หมูไม้ ไก่ย่าง
5. งดหรือลดอาหารเนื้อสัตว์ที่ใส่ดินประสิว เช่น แหนม เนื้อหรือปลาแดดเดียว แฮม เบคอน ไส้กรอก กุนเชียง
6. หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์หมัก เช่น กะปิ ปลาร้า หอยดอง หากจะรับประทานต้องใช้ความร้อนทำให้สุกก่อน
7. หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดและมันจัด
8. อย่ารับประทานอาหารร้อนจัด
9. ควรปฏิบัติตนให้ถูกสุขปฏิบัติ
- ระวังอย่าให้ท้องผูก
- งดสูบบุหรี่
- ทำจิตใจให้สบาย คลายความเครียด


วิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคความดันโลหิตสูง หลักสำคัญคือ ลดการบริโภคอาหารรสเค็ม ซึ่งจะช่วยป้องกันมะเร็งในกระเพาะอาหารด้วย
1. งดอาหารดองเค็ม เช่น ปลาเค็ม ไข่เค็ม ผักผลไม้ดองเค็มทุกชนิด
2. ลดการบริโภคอาหารที่มีเกลือมาก เช่น กะปิ เต้าเจี้ยว ไตปลา ปลาร้า เต้าหู้ยี้
3. งดสิ่งปรุงแต่งจำพวกซุปก้อน ซุปผง รวมทั้งผงชูรสต่างๆ หรือผงปรุงรสที่ใส่มาในซองบะหมี่สำเร็จรูป
เมื่อปรุงรสอาหารด้วยเกลือ น้ำปลา ซอสที่มีรสเค็ม ควรใช้ในปริมาณน้อยๆ
วิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง โรคกระดูกโปร่งบาง มักเกิดในหญิงวัยหมดประจำเดือน กระดูกสันหลังโค้งงอ และหักง่ายเมื่อล้มหรือถูกกระแทกอย่างแรง มีวิธีป้องกันดังนี้
1. ควรเริ่มดื่มนมและออกกำลังกายตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น ตลอดไปจนถึงวัยสูงอายุ
2. รับประทานอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
3. ออกกำลังกายกลางแจ้งด้วยวิธีที่กระดูกรับน้ำหนัก เช่น การเดินเป็นประจำสม่ำเสมอ
จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติตนในด้านการบริโภคเพื่อป้องกันโรคแห่งความเสื่อมในวัยสูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง กระดูกโปร่งบางและมะเร็ง ก็คือการรู้จักเลือกอาหารหลัก 5 หมู่ให้ดีที่สุด ประกอบกับจิตสำนึกในการที่จะบริโภคเพื่อป้องกันโรคที่กล่าวมา คุณควรลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้และตลอดไปจนเข้าสู่วัยทอง อย่ารอให้ถึงวัยที่โรคแห่งความเสื่อมมาเยือน เพราะอาจจะสายเกินไป เราสามารถชะลอและป้องกันมิให้เกิดโรคได้

สาระอาหาร สารพันคุณค่าจากเนื้อปลา/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ



สาระอาหาร สารพันคุณค่าจากเนื้อปลา

โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย พักหลังๆ นักโภชนาการจึงแนะนำให้คนรับประทานปลากันมากๆ เพราะปลาเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันพิเศษที่เรียกว่า โอเมก้า-3” ค่อนข้างสูง ถ้าเป็นปลาเล็กปลาน้อยที่รับประทานทั้งกระดูกก็จะได้แคลเซียมปริมาณสูงแถมไปด้วย

แล้วเราจะทราบอย่างไรว่าควรรับประทานปลาปริมาณเท่าไรถึงจะพอเพียง

จริงๆ แล้วปริมาณอาหารที่พอเพียงเป็นทฤษฎีที่มีแต่นักโภชนาการเท่านั้นที่ทราบดี ว่าอาหารใดมีประโยชน์มากน้อยต่างกันอย่างไร การที่จะทราบปริมาณของสารอาหารได้ต้องผ่านการวิเคราะห์ทางเคมี แล้วยังต้องนำไปเทียบกับปริมาณที่รับประทานจริงในแต่ละครั้งอีกต่างหาก คนทั่วไปอย่างเราๆ ต้องอาศัยการกะปริมาณเอา อย่างง่ายๆ ในการรับประทานปลา คุณมักจะได้ยินการพูดถึง ปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภค อยู่เสมอๆแล้วมันเท่าไรกันละนี่ ก็ลองกะคร่าวๆ ได้เท่าๆ กับ 1/3 ถ้วยตวง ประมาณนั้น เหตุที่ใช้เป็นถ้วยตวง คงทำให้ง่ายขึ้น เพราะเป็นเครื่องครัวพื้นฐานที่มีเกือบทุกครัวเรือน และตำรับอาหารต่างๆ ก็กำหนดกันเป็นถ้วยตวงอยู่แล้ว

ในแต่ละวันคนเราในวัยทำงานจะต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้ามีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีนวันละ 50 กรัม เป็นต้น ปริมาณโปรตีนในเนื้อปลาสุกมีค่าอยู่ระหว่าง 16-30 กรัมต่อ 100 กรัม (หรือ 9 –17 กรัมต่อ 1/3 ถ้วยตวง) ดังนั้นคนที่หนัก 50 กิโลกรัม แล้วต้องการโปรตีนจากปลาเพียงอย่างเดียวก็คงต้องรับประทานจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว ปกติปลามีส่วนที่รับประทานได้ประมาณร้อยละ 55-80 ในบรรดาปลาชนิดต่างๆ แนะนำว่าปลาสลิดตากแห้ง มีโปรตีนมากกว่าชนิดอื่น เมื่อเทียบกับแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ปลาดิบ ปลาต้ม และปลานึ่งทุกชนิดมีไขมันและพลังงานต่ำ ซึ่งปลาย่างและปลาทอดจะมีไขมันและพลังงานสูงกว่าอีกหน่อย

เมื่อคุณคิดจะรับประทานปลาให้มากขึ้นแล้วลองมาดูกันว่ามีปลาชนิดไหนน่าเลือกรับประทานบ้าง โดยแบ่งประเภทปลาสดได้จากปริมาณไขมันในปลา คือ

*ปลาที่มีไขมันต่ำมาก (น้อยกว่า หรือเท่ากับ 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ประกะพงแดง และปลาเก๋า

*ปลาที่มีไขมันต่ำ (มากกว่า 2-4 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจะละเม็ดดำ และปลาอินทรี

*ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-5 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะละเม็ดขาว

*ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8-20 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี

คงจะพอเลือกกันได้แล้วว่าปลาชนิดไหนเข้าตากรรมการบ้าง ไม่ว่าคุณจะเลือกรับประทานชนิดไหน คุณก็ยังจะได้สารอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆ อีกมากมาย เพราะนอกจากจะมีโปรตีน และไขมันต่ำแล้วยังมีกรดไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลไม่สูงมากนัก อาหารบางชนิดอุดมด้วยสารสองชนิดนี้ จึงก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตันโดยเฉพาะหัวใจได้ แต่ในปลามีกรดไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลน้อยกว่า 25 % ของปริมาณที่สำนักงานอาหารและยาแนะนำให้บริโภคต่อวัน (น้อยกว่า 20 กรัม, Thai Recommended Daily Intake, Thai RDI) จึงน่าจะปลอดภัยใช้ได้ที่จะเลือกเป็นอาหารจานหลักประจำบ้าน

ในขณะเดียวกันในเนื้อปลาก็ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอีกหลายชนิดด้วยกัน ทั้งโอเมก้า 3 เช่น กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด จะพบได้มากในปลาทะเล และปลาน้ำจืดที่นิยมเลี้ยงเพื่อจำหน่าย เช่น ปลาจะละเม็ดดำ ปลาจาระเม็ดขาว ปลากะพงขาว ปลาสวาย ปลาสลิด ปลาดุก และปลาช่อน เมื่อนำมาต้มหรือนึ่งจะให้กรดไขมันโอเมก้า 3 สูง คือ รับประทาน1/3 ถ้วยตวง (หนึ่งหน่วยบริโภค) จะให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ร้อยละ 54-120 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกา (600 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อได้รับพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่) โดยเฉพาะปลาทอดด้วยน้ำมันพืช หรือปลาย่างจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อยู่ ในระดับสูงมาก (คิดเป็นร้อยละ 67-287 ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน)

เมื่อรับประทานปลาเป็นประจำแล้วจะยังทำให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกและฟันที่เกิดจากการขาดธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กค่อนข้างสูงที่มีส่วนเสริมสร้างเลือด และที่สำคัญในปลากลับมีโซเดียม โปตัสเซียม และคลอไรด์ ที่มีผลก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงมีอยู่ในปลาปริมาณต่ำ ยกเว้นปลาบางชนิด เช่น ปลาสลิด ปลาทูนึ่ง หรือปลาที่ผ่านการหมักเกลือ หรือน้ำปลา เป็นต้น และถ้าเป็นปลาทะเล ก็ยังมีธาตุไอโอดีนแถมให้ไปช่วยป้องกันโรคคอพอก และบำรุงสมองในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอีกด้วย

จากเรื่องราวของสารอาหารในเนื้อปลาชนิดต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ ปลา ได้รับยกย่องว่า เป็นแหล่งรวมของสารอาหารชั้นดีอันทรงคุณค่าชนิดหนึ่งเลยทีเดียว จากนี้ไปคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะลดเนื้อสัตว์ใหญ่ชนิดอื่นๆ ลงหันมารับประทานปลา ผักสด ผลไม่ให้มากขึ้นกันดีกว่า สิ่งที่จะได้กลับมาเห็นจะเป็น ความเสี่ยงต่อโรคภัยลดลง สุขภาพสดใสแข็งแรง กระฉับกระเฉงขึ้นแน่นอน แต่ อย่าลืมนะครับว่า รับประทานปลาที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น จะปลอดภัยจากพยาธิต่างๆ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ารับประทานอย่างชาญฉลาด



วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ/อาหารลดน้ำหนักง่ายๆของคุณ







สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ

สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

โดยสรุปสารกลูตาไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู

ยาเม็ดกลูตาไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?

ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูตาไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม

กลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

ภาวะที่ร่างกายขาดกลูตาไธโอน

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมีกลูตาไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูตาไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูตาไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

กลูตาไธโอนในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ







วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ


เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี

ไข่ฟองกลมๆ เหล่านี้จะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่







น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ

การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"

นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มี ผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี

ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

"โปรตีนในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว

"แต่จัดว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับ คอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี

ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้ายได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น





วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ




อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง

การที่คนส่วนใหญ่จิตใจและสมองไม่ปลอดโปร่ง สดชื่น เป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสม แพทริค โฮลฟอร์ด นักโภชนาการกล่าว สมองของเราประกอบขึ้นจากโมเลกุลที่ได้จากอาหาร อากาศ และน้ำ ดังนั้นอาหารที่เรากินย่อมส่งผลต่อการทำงานของสมอง

หากต้องการเสริมสร้างสมอง คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน อย่า...อย่า...งดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะจากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การกินอาหารเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและความจำดีขึ้น

ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ บิสกิต เค้ก และขนมขบเคี้ยวไม่ช่วยให้คุณเป็นอัจฉริยะ จงหลีกเลี่ยง

อาหารสำหรับ สมองที่คุณรัก

อาหารเช้า อาหารเช้าช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คุณจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมนูแนะนำ ไข่ดาวน้ำซึ่งอุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ 1 แก้ว

อาหารว่าง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน เลือกกินอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำ โยเกิร์ต ไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชา

อาหารกลางวัน เนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เมนูแนะนำ สลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว

อาหารเย็น น้ำมันปลา เช่นน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก อย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ เมนูแนะนำ ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือ


อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง/อาหารลดน้ำหนัก ง่ายๆของคุณ



อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง

การที่คนส่วนใหญ่จิตใจและสมองไม่ปลอดโปร่ง สดชื่น เป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสม แพทริค โฮลฟอร์ด นักโภชนาการกล่าว สมองของเราประกอบขึ้นจากโมเลกุลที่ได้จากอาหาร อากาศ และน้ำ ดังนั้นอาหารที่เรากินย่อมส่งผลต่อการทำงานของสมอง

หากต้องการเสริมสร้างสมอง คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน อย่า...อย่า...งดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะจากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การกินอาหารเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและความจำดีขึ้น

ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ บิสกิต เค้ก และขนมขบเคี้ยวไม่ช่วยให้คุณเป็นอัจฉริยะ จงหลีกเลี่ยง

อาหารสำหรับ สมองที่คุณรัก

อาหารเช้า อาหารเช้าช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คุณจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมนูแนะนำ ไข่ดาวน้ำซึ่งอุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ 1 แก้ว

อาหารว่าง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน เลือกกินอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำ โยเกิร์ต ไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชา

อาหารกลางวัน เนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เมนูแนะนำ สลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว

อาหารเย็น น้ำมันปลา เช่นน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก อย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ เมนูแนะนำ ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือ


ผู้ป่วยโรคไตห้ามดื่มน้ำลูกยอ-ปัสสาวะ อันตรายถึงชีวิต




ผู้ป่วยโรคไตห้ามดื่มน้ำลูกยอ-ปัสสาวะ อันตรายถึงชีวิต

แพทย์เตือน ผู้ป่วยโรคไตที่ดื่มน้ำลูกยอ หรือปัสสาวะ อาจหัวใจวายเฉียบพลันเสียชีวิตได้ เพราะมีปริมาณเกลือโปรแตสเซียม และโซเดียมสูง

นายแพทย์เกรียง ตั้งสง่า นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในน้ำลูกยอมีปริมาณเกลือโปรแตสเซียม และโซเดียมสูง การบริโภคเพื่อรักษาอาการไตวายต้องระวัง โดยผลการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่บริโภคน้ำลูกยอทั่วประเทศ พบว่า ผู้ที่ดื่มวันละ 1-2 ถ้วยแก้ว มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะโปรแตสเซียมในร่างกายสูง ขณะที่ผู้ที่ดื่มปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน ไม่มีผลข้างเคียง

สรรพคุณมากมาย ใช้เป็นร้ายหรือดีก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ดื่ม ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตที่จะดื่มน้ำลูกยอต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะหากบริโภคเกินขนาดจะทำให้เกิดความผิดปกติของระดับโปรแตสเซียมในเลือดส่งผลถึงการเต้นของหัวใจ หัวใจวายเฉียบพลันจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกันกับการดื่มน้ำปัสสาวะที่มีคำอวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรคได้ก็ไม่เป็นความจริง

อย่างไรก็ตามในงานวิจัยได้ระบุว่า ลูกยอสามารถช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานและป้องกันมะเร็งได้ โดยในลูกยอจะมีสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคในร่างกาย และสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลาม แต่ไม่ได้รักษามะเร็ง

นอกจากนี้มีฤทธิ์แก้ปวด กระตุ้นเอนไซม์ในลำไส้เล็กให้ทำงานดีขึ้น ทั้งนี้คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล โดยการสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ทำวัจัยเกี่ยวกับต้นยอที่ปลูกในประเทศไทย เบื้องต้น พบว่า ลูกยอของไทยสามารถช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เป็นที่น่าพอใจ